คนเราที่เกิดมาบนโลกอันสับสนวุ่นวายใบนี้ เมื่อเกิดมาแล้วมักจะมองไปข้างหน้า ไม่ค่อยมีใครมองไปข้างหลัง ถ้าใครมองไปข้างหลังหรือแม้จะเล่าเรื่องความหลัง จะถูกค่อนขอดว่าเป็นคนแก่ เพราะมีคำพังเพยแบบไทยๆที่ผมได้ยินมานานเต็มทน แต่ไม่ทราบว่าใครคิดขึ้นคือ
ชอบของขม ชมเด็กสาว เล่าความหลัง นั่งวิปัสนา
แต่วันนี้บล็อกของผมนี้จะไม่สนใจกับคำพังเพยดังกล่าวแล้ว เพราะผมกำลังจะมองไปข้างหลังชีวิต(ของผม) ว่า ผมนั้นดำเนินชีวิตมาอย่างไร อะไรๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ซึ่งแน่นอนย่อมมีทั้งความสมหวัง(ไม่ใช่แห้ว) ความผิดหวัง(แห้ว) ความสุข ความทุกข์ ความฝันที่เป็นจริง และความฝันที่เป็นไปไม่ได้ ฯลฯ สารพัดละที่ชีวิตผมผ่านพบประสบการณ์ต่างๆตามที่กล่าวมา
วิธีการที่ผมจะมองไปข้างหลังชีวิตคือ การเล่าเรื่อง(เก่า)ชีวิตผม ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ที่มานั่งเขียนบล็อกนี้ก็เป็นเวลา 72 ปีแล้ว เห็นใหมล่ะ มันน่าจะมีเรื่องราวอะไรๆมากมายที่จะเล่านะ
เรื่องที่เล่านี้ไม่แน่ใจว่าจะจบลงตรงไหน เวลาใด แต่ที่แน่ๆคือมันจะจบลงอย่างสมบูรณ์เมื่อวันที่ผมสิ้นชีวิต เพราะนั่นคือบทสุดท้ายของข้างหลังชีวิต
ถามว่าเรื่องนี้จะเขียนให้ใครอ่าน ผมไม่ค่อยสนใจนักว่าจะมีใครอ่านหรือไม่ แต่อย่างน้อยก็คงมีกลุ่มผู้อ่านกลุ่มหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าจะมีสักกี่คน คงจะอ่านบ้างเมื่อได้รับหนังสือเล่มนี้จากงานพระราชทานเพลิงศพผม(ซึ่งภรรยาของผมคงจัดให้เป็นครั้งสุดท้าย)
เอาละวันนี้คงเขียนเพียงเป็นสัมโมทนียคาถาแค่นี้ก่อน ต่อไปก็จะฟื้นความจำในสมองที่ใช้มานานถึง 72 ปี นำเรื่องข้างหลังชีวิตมาเขียนให่อ่านกันเป็นตอนๆไป อาจจะยาวบ้าง สั้นบ้าง ตามอำเภอใจและความบันดาลใจที่จะเขียน
สวัสดีครับ พบกันโอกาสหน้าครับ
เมื่อคืนวานนี้หนูต้องสมัครเข้า wordpress เลยค่ะ เพราะหนู search หาคำว่าเธคกลางวัน โรงแรมนารายณ์(เคยไปเที่ยวสมัยมัธยมปลาย) แล้วมาเจอบล็อคของคุณลุงก็เลยสมัครทันทีเพื่อจะได้อ่านบล็อคคุณลุง เพื่อเป็นความรู้ประดับสมองนะคะ เพราะลองอ่านคร่าว ๆ มีเรื่องราวที่น่าสนใจอย่างโรงแรมปอยหลวงที่ตอนนี้เป็นโรงแรมร้างไปแล้ว หนูเองเพิ่งย้ายมาอยู่เชียงใหม่ 6 ปีได้เห็นโรงแรมนี้ร้างมาตั้งแต่แรกเห็นเลย จะทะยอยอ่านเพราะแต่ละเรื่องที่ลุงเขียนเล่านั้นล้วนแต่น่าสนใจทั้งสิ้น ขอบพระคุณนะคะ