นักประชาสัมพันธ์โรงแรมในสมัยนั้น ดูท่าทีเหมือนกับจะแข่งขันการทำงานอยู่ในที แต่ความเป็นจริงแล้ว พวกเรามีความรักใคร่สามัคคีกัน เคารพกันตามอาวุโส ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลกันประจำ ใครมีอะไรใหม่ๆก็มักจะแลกเปลี่ยนกันเสมอๆ
บรรดานักประชาสัมพันธ์โรงแรมชั้นหนึ่งสมัยนั้น เท่าที่ผมพอจะระลึกได้จากสมองของคนอายุ 72 ปีก็มีดังนี้ครับ พี่พรศรี หลูไพบูลย์ โรงแรมโอเรียลเต็ล มรว.จิริสุดา วุฒิไกร โรงแรมไฮแอทรามา พี่สมจิตร จันทราทิพย์ โรงแรมเอเซีย คุณถาวร โสภีอมร โรงแรมมณเฑียร(สุริวงศ์) คุณอัจฉรา กาไชย โรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนลตัล คุณชวลิต ศรีนาวา โรงแรมเอราวัณ(ยุคเก่า) พี่ประเดิม เขมะศรีสุวรรณ (เสียชีวิตแล้ว) โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ พี่กิ่งดาว ดารณี โรงแรมชวลิต นอกจากนี้พวกเรายังมีการรวมตัวกันอย่างหลวมๆ(เรียกว่าไม่เป็นทางการ)ตั้งเป็นชมรมประชาสัมพันธ์โรงแรมชั้นหนึ่ง มีกิจกรรมอย่างหนึ่งคือการกินข้าวกลางวันร่วมกันเดือนละครั้ง หมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพเดือนละครั้ง และเชิญนักหนังสือพิมพ์(คอลัมนิสต์)มาร่วมกินข้าวกับพวกเราด้วย นี่เป็นกลยุทธ์ให้พวกเรารู้จักนักหนังสือพิมพ์ดีขึ้น มีความสนิทสนมกันขึ้น โดยเฉพาะนักประชาสัมพันธ์น้องใหม่ ที่ยังไม่รู้จักใคร
ต่อมาทราบว่า ชมรมนักประชาสัมพันธ์โรงแรมชั้นหนึ่งในสมัยนั้น ได้พัฒนามาเป็น สมาคมนักประชาสัมพันธ์โรงแรม วันนี้
พูดถึงการส่งข่าวไปยังหนังสือพิมพ์ต่างๆก็อดที่จะกล่าวถึงบุคคลคนหนึ่งไม่ได้ เขาชื่อ วิวัย จิตต์แจ้ง ตอนนั้นทำงานเป็นพนักงานส่งเอกสารของโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ สังกัดฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงแรม ที่มีพี่ประเดิมเขมะศรีสุวรรณ เป็นผู้จัดการฝ่าย หลังจากที่เขาส่งข่าวเสร็จแล้ว เขามักจะมาคุยกับผมเสมอ เรื่องที่คุยก็เรื่องการทำประชาสัมพันธ์นั่นแหละ ตอนนั้นเขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีความกระตือรือร้น ผมเห็นเขามีความมุ่งมั่นที่จะทำงานเป็นนักประชาสัมพันธ์ จึงบอกพี่ประเดิมให้ส่งเขาเข้าอบรมหลักสูตร การประชาสัมพันธ์ธุรกิจแผนใหม่ รุ่นที่ 4 ที่โรงเรียนการประชาสัมพันธ์ เมื่อเขาจบการอบรมแล้วก็ได้ทำงานประชาสัมพันธ์ตามที่เขามีใจรักอย่างเต็มที่ เขาได้เปรียบคนอื่นๆตรงที่เขาเป็นพนักงานส่งข่าวมาก่อน จึงมีโอกาสรู้จักนักหนังสือพิมพ์หลายคน อาศัยเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี มีความอ่อนน้อมกับคนทั่วไป ต่อมาจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นประชาสัมพันธ์โรงแอมบาสซาเดอร์ แทนพี่ประเดิมที่ลาออก และเจริญเติบโตในหน้าที่การงานอย่างต่อเนื่อง เลื่อนหน้าที่การงานขึ้นเป็น ผู้จัดการฝ่ายกลางคืน (Resident Manager)โรงแรมคอนติเนลตัล สนามเป้า ตรงข้าม ทีวี ช่อง 5 สมัยที่ คุณกมล รัตนวิระกุล มาเช่าดำเนินการ สถานที่ตรงนี้คือ โรงพยาบาลพญาไท 2 วันนี้ และเขาเป็นผู้จัดการทั่วไปโรงแรมที่ตรัง นครศรีธรรมราช วันนี้เขาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป(ฝ่ายบันเทิง) กลุ่มธุรกิจใหญ่ ไทเกอร์กรุ๊ฟ ที่ภูเก็ต
ผมทำงานที่โรงแรมชวลิตขึ้นปีที่สอง (พ.ศ. 2516) คุณกิ่งดาว ดารณี หัวหน้าผมขอลาออก ท่านประธานฯจึงจ้าง มล.พร้อมศรี พิบูลสงคราม นักเล่นไพ่บริดจ์มืออาชีพมาทำงานแทนคุณกิ่วดาวดารณี มล.พร้อมศรีไม่มีความรู้และประสบการณ์เรื่องการประชาสัมพันธ์ แต่เป็นคนที่สังคมสมัยนี้เรียกว่า “ไฮโซ” รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่มาก นี่จึงเป็นจุดเด่นที่โดนใจท่านประธานฯ เพราะธุรกิจโรงแรมชวลิตต้องพึ่งผู้ใหญ่ในหลายวงการ อาทิ ทหาร ตำรวจ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ด้าน กรมสรรพากร และกรมสรรสามิต เป็นต้น
ดังนั้นโดยสรุปงานประชาสัมพันธ์ทั้งหมดผมจึงเป็นผู้ทำ และทำอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยคุณกิ่งดาวแล้ว ประมาณกลางๆปี พ.ศ. 2516 มล.พร้อมศรีมาบอกผมว่าท่านประธานฯต้องการให้ผมขึ้นไปเป็นผู้จัดการ ออสการ์คลับ ชั้น 7 เพราะผู้จัดการคนเดิมซึ่งเป็นชาวสิงค์โปร์ ลาออก เพราะใบอนุญาตทำงานหมดอายุต่ออีกไม่ได้ ผมจึงบอก มล.พร้อมศรีว่าผมทำไม่เป็นหรอกให้ไปเรียนท่านประธานฯด้วย
สองสามวันต่อมาท่านประธานฯสั่งให้ผมไปพบด่วนที่ห้องทำงาน ผมตกใจมากเพราะตั้งแต่ทำงานที่นี่มายังไม่เคยไปพบท่าน นอกจากครั้งแรกที่มาสมัครงาน ท่านถามว่าเพราะอะไรจึงไม่ยอมรับเป็นผู้จัดการ ออสการ์คลับ ผมเรียนท่านว่า เพราะผมไม่รู้เรื่องดนตรี เต้นรำไม่เป็น กินเหล้าไม่เป็น ท่านหัวเราะแล้วบอกผมว่านั่นแหละคือคุณสมบัติที่ท่านต้องการ (ขอชมท่านว่าเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ดีเยี่ยมที่ให้ผมไปเป็นผู้จัดการ เพราะต่อมาผมบริหารออสการ์คลับ ดังระเบิดเถิดเทิงไปทั่วฟ้ากรุงเทพอันอมร)
ณ บัดนี้ผมก็สวมหมวกสองใบแล้ว ชีวิตทำงานเป็นสองมิติครั้งแรกในชีวิต คือกลางวันเริ่มงานที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ เวลา 10.00 น. เลิกเวลา 17.00 น. แล้วหยุดพัก เข้างานอีกรอบที่ออสการ์ครับเวลา 19.00 น. ถึง เวลา 24.00 น. ศุกร์-เสาร์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ เลิกเวลา 01.00 น. วันเทศกาลปีใหม่ คืนวันที่ 31 ธันวาคม อยู่ตลอดคืน กลับบ้านสวนกับพระออกบิณฑบาตรครับ