ผมขอย้อนเวลาไปหาอดีตสักตอนครับ คือก่อนที่ผมจะลาออกจากโรงแรมชวลิตมาทำงานที่โรงแรมเฟิร์สทนั้น ประมาณ พ.ศ. 2518 ผมมีโอกาสได้รู้จักกับนักวิชาการพูดชื่อดังในเวลานั้นท่านหนึ่งคือ อาจารย์ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ ท่านเป็นชาวนครชัยศรี นครปฐม จังหวัดเดียวกับบ้านเกิดของผม ผมเป็นชาวสามพราน
ท่านมาติดต่อห้องจัดอบรมหลักสูตร “มนุษยสัมพันธ์และการพูดในที่ชุมชน” ในนามของศูนย์พัฒนาบุคคลิกภาพและการพูดในที่ชุมชน จำได้ว่าเป็นรุ่นต้นๆประมาณรุ่นที่ 6-7-8 ตอนนี้เข้าใจว่าน่าจะจัดอบรมเป็นรุ่นที่ 100 กว่าแล้ว โรงแรมชวลิตตอนนั้นมีห้องสำหรับจัดอบรมหรือประชุมสัมมนา เพียงสามห้องเล็กๆ บนชั้นสองของโรงแรม ชื่อห้องว่า ห้อง วีไอพี ห้องเอ็มบาสซี่ และ ห้องแอมบาสซาเดอร์ (ต่อมาชื่อนี้เป็นชื่อโรงแรมใหม่ที่ท่านประธานฯจัดสร้างขึ้นด้านหลังโรงแรมชวลิต)
ประมาณกลางปี พ.ศ. 2518 วันหนึ่งผมได้รับโทรศัพท์จากคุณไพบูลย์ สำราญภูติ ผู้จัดการฝ่ายขายโครงการ หมู่บ้านเสนาฯนิเวศน์ ของบริษัท สยามประชาคาร ซึ่งอยู่เชิงสะพานกษัตริย์ศึก ถนนพระราม1 ว่ามีความต้องการที่จะจัดตั้งชมรมของคนวัยหนุ่มที่ทำงานธุรกิจสาขาอาชีพต่างๆ ต้องการให้ผมช่วยประชาสัมพันธ์ให้ด้วย ผมตอบรับด้วยความยินดี นั่นคือที่มาของ ชมรมนักธุรกิจหนุ่ม ที่ดังระเบิดเป็นที่รู้จักกันภายในเวลารวดเร็ว ประมาณสามเดือนชมรมนี้มีสมาชิกประมาณ 40 กว่าคน จากสาขาอาชีพต่างๆ
งานสังสรรค์สมาชิกครั้งแรกจัดขึ้นที่ ห้องรอแยลกริลล์ โรงแรมชวลิต เป็นงานที่เรียกว่า Dinner Talk มีวิทยากรรับเชิญมาพูดคนแรกของชมรมฯคือ อาจารย์สมิต สัชฌุกร พูดเรื่อง “การสื่อสารสี่ทิศทาง” ปรากฏว่ามีสมาชิกมาร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียง และเป็นที่กล่าวชวัญกันมากในวงการธุรกิจตอนนั้น ชมรมนักธุรกิจหนุ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาภายในเวลาอันรวดเร็ว ส่งผลให้ชื่อของประธานชมรมฯ(ไพบูลย์ สำราญภูติ) เริ่มดังตั้งแต่นั้นมา
ต่อมาไม่นานก็มีนักธุรกิจอีกกลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มคุณบัญชา เลิศเศรษฐการ พ่อค้าขายเครื่องจักรกลรถแท็คเตอร์ หน้าสนามกีฬาศุภชลาศัย ร่วมกับคุณเกษม วิศวพลานนท์ จัดตั้งชมรมนักธุรกิจสัมพันธ์ ขึ้นมาบ้าง โดยมีคุณเสรี บุณยประเสริฐ เป็นประชาสัมพันธ์ให้
นับจากนี้มาชมรมทั้งสองก็แข่งขันกันในด้านการประชาสัมพันธ์อย่างเข้มข้น เป็นที่กล่าวขวัญกันในหมู่สื่อมวชนอย่างมาก ชมรมนักธุรกิจสัมพันธ์ ได้พัฒนามาจัดตั้งเป็นสมาคมนักธุรกิจสัมพันธ์แห่งประเทศไทย ส่วนชมรมนักธุรกิจหนุ่มหลังจากที่ดำเนินกิจกรรมมาระยะหนึ่ง ก็แผ่วหายไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง ทิ้งไว้แต่ประวัติการประชาสัมพันธ์เท่านั้น