วันหนึ่งผมได้รับโทรศัพท์จากคุณทวิช ปิ่นแก้ว อดีตผู้จัดการฝ่ายขาย ห้างฯลัคกี้แฟมิลี่สโตร์ แจ้งว่าสนใจจะไปทำงานที่ห้างฯบางลำภูฯใหม เขาต้องการผู้จัดการฝ่ายบุคคล ผมตอบว่าสนใจ และคุณทวิชก็นัดหมายให้ผมไปพบคุณแก้ว ผูกทวนทอง กรรมการผู้จัดการของห้างฯบางลำภู ที่สี่แยกบางลำภู ผมคุยกับคุณแก้วแล้วไม่น่าสนใจ จึงแจ้งคุณทวิชว่าขอสละสิทธิ์ คุณทวิชแนะนำให้ผมไปพบกับคุณวิโรจน์ กมลวิศิษฐ์ กรรมการผู้จัดการ ห้างฯคาเธ่ย์ ย่านเยาวราช จากการคุยกับคุณวิโจน์น่าสนใจ ผมจึงตกลงจะทำงานที่ห้างฯคาเธ่ย์ ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคล เมื่อตกลงเรื่องเงินเดือนเรียบร้อยแล้วก็เริ่มงานได้ทันที
นี่เป็นการใช้วิชาชีพการบริหารบุคคลเป็นแห่งที่สาม ห้างฯคาเธ่ย์เป็นห้างขนาดกลาง ตั้งอยู่ใจกลางชุมชนย่านการค้าเยาวราชพอดี ตรงหัวมุมถนนมังกร เดิมทีครอบครัวกมลวิศิษฐ์ทำธุรกิจด้านสิ่งทอและผลิตเสื้อและกางเกงยีนส์ยี่ห้อ ฮาร่า และบิ๊กจอห์น ก่อนที่จะมาตั้งห้างฯคาเธ่ย์ เป็นที่น่าสังเกตุว่าเจ้าของห้างฯแบบไทยๆมักจะมีธุรกิจเกี่ยวกับเสื้อผ้ามาก่อน อีกเจ้าหนึ่งก็คือ ห้างฯเมอร์รี่คิงส์ มีธุรกิจเกี่ยวกับเสื้อผ้าสำเร็จรูปมาก่อนเช่นกัน
คุณวิโรจน์ เป็นพี่ชายคนโตของครอบครัว มีน้องชายสามคนคือ วิชิต ชูชาติ และชูวิทย์(เป็นนักการเมืองแต่ไม่ประสบความสำเร็จ) มีน้องสาวหนึ่งคน คุณวิโรจน์เป็นคนพูดน้อย แต่มีหลักการและเหตุผลดีมาก ผู้ใต้บังคับบัญชามักจะเกรงกลัว เวลาประชุมผู้บริหารมักจะพูดแต่เนื้อหาสาระ จบเร็วไม่เยิ้นเย้อพูดมาก
ผมทำงานที่นี่แม้จะดูเผินๆว่าเป็นระบบครอบครัว แต่ก็มีหลักการบริหารที่ดีไม่แพ้องค์กรใหญ่ๆทั้งหลาย ในช่วงที่ผมทำงานอยู่ที่นี่มีการขยายสาขาไปที่ต่างๆสามสาขาคือ สาขาวงเวียนใหญ่ สาขาบางแค(ปัจจุบันคือ ห้างฯไอทีแกรนด์บางแค) สาขาหลักสี่ที่หลักสี่พลาซ่า(ต่อมาไฟใหม้จึงเลิกกิจการไป) จุดอ่อนการบริหารของห้างฯคาเธ่ย์เห็นจะมีอย่างเดียวคือ อำนาจการตัดสินใจมักจะอยู่ที่คุณวิโรจน์คนเดียว ดังนั้นถึงแม้จะขยายสาขาออกไปก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ในที่สุดก็ค่อยๆยุบสาขาลงจนเหลือแต่ที่เยาวราชแห่งเดียว ซึ่งในที่สุดก็เข้าตำราว่า ตายก็ไม่ตายโตก็ไม่โตประมาณนั้น
ผมมีสัญญาจ้างงานที่นี่จำนวน 1 ปี แต่ผมทำงานไม่ครบปีเพราะมีโรงแรมกำลังจะเปิดใหม่ ตั้งอยู่หน้าวังบูรพาภิรมย์ (ศูนย์การค้าเก่าแก่ของกรุงเทพ) เวลาผมเดินทางมาทำงานที่ห้างฯคาเธ่ย์ เขาวราช ต้องผ่านโรงแรมใหม่นี้ทุกวัน วิญญาณของความเป็นคนโรงแรมเก่ามันกระตุ้นให้ผมโหยหาที่จะทำงานโรงแรมอีก
ผมจึงหาเวลาว่างมาสำรวจข้อมูลที่โรงแรมใหม่นี้ว่าเป็นของใคร กำหนดจะเปิดเมื่อไร และทำอย่างไรจะพบเจ้าของโรงแรมได้ ซึ่งก็ไม่ยากเกินความสามารถของผมไปได้ เมื่อผมได้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว จึงกำหนดวันดีเดย์เข้าพบเจ้าของโรงแรมทันที
ผมได้พบเจ้าของโรงแรมคนแรกคือ พ.ต.อ.(พิเศษ) นพ.กำพล ตังทัตสวัสดิ์ รอง ผอ.รพ.ตำรวจ ยังรับราชการอยู่ในขณะนั้น ตระกูลตังทัตสวัสดิ์ มีนพ.กำพลเป็นบุตรชายคนโต คนที่สองคือคุณสิงห์ ตังทัตสวัสดิ์ ทำงานอยู่เครือปูนซิเมนต์ไทยระดับผู้บริหารระดับสูง น้องสาวหนึ่งคน น้องชายคนสุดท้องคือ คุณอนันต์ ตังทัตสวัสดิ์ อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารอิสลามคนแรก
ผมคุยกับ นพ.กำพลหลายครั้ง แต่ละครั้งคุณหมอจะซักถามเรื่องราวต่างๆของการบริหารโรงแรมอย่างละเอียดถี่ถ้วน จนผมรู้สึกว่าคุณหมอจะหลอกถามผมหรือไง แต่ก็ยังมีความมั่นใจว่าจะได้ทำงานที่โรงแรมใหม่นี้แน่นอน การก่อสร้างตัวอาคารโรงแรมก็ใกล้จะเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่เพียงการติดตั้งอุปกรณ์และเครื่องใช้ตามห้องพักเท่านั้น
ในที่สุดหลังจากพบกับคุณหมอกำพลประมาณสิบกว่าครั้ง คุณหมอก็ถามผมว่าผมพร้อมที่จะทำงานได้เมื่อไร ผมก็พยายามพูดแบบสงวนท่าทีว่า ผมคงต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนเพื่อลาออกจากห้างฯคาเธ่ย์ คุณหมอกำพลก็พูดว่าถูกต้องแล้ว อย่าทำให้ที่ทำงานเก่าเขาเสียหาย แสดงว่าคุณหมอกำพลนอกจากเป็นหมอแล้วยังมีความเป็นผู้บริหารที่ดีอีกด้วย