เมื่อร่างกายฟื้นจากอาการเป็นอัมพฤกษ์แล้ว ผมก็ทำตามที่เคยสัญญาไว้กับหลวงพ่อไสว เจ้าอาวาสวัดปรีดารามคือ การบวชเป็นพระเพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับเจ้าของตำรับยา (ซึ่งทราบว่าเป็นคนแถววัดไร่ขิง และถึงแก่กรรมนานแล้ว) วัดที่ผมตั้งใจจะบวช(แก้บน)คือวัดเดชานุสรณ์ ที่ผมเคยบวชครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2502
ผมไปติดต่อเจ้าอาวาสเพื่อขออนุญาตบวช เพราะคณะสงฆ์มีระเบียบกำหนดไว้ว่า ผู้ที่มีอายุ 60 ปีแล้วหากจะบวชจะต้องได้รับการอนุญาตจากวัดที่จะบวชและจำพรรษา และต้องมีเหตุผลที่รับฟังได้ว่าบวชเพื่ออะไร ทั้งนี้เป็นการป้องกันมิให้ผู้ที่เจตนาไม่ดี มาบวชเพื่ออาศัยวัดเป็นที่พึ่งพิง ซึ่งจะนำความเสียหายมาสู่คณะสงฆ์
ผมกำหนดบวชเดือนธันวาคม 2542 ความจริงตั้งใจจะบวชเพียง 1 เดือน แต่แล้วก็บวชอยู่ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2543 จึงลาสิกขา(สึก) ก่อนลาสิกขาผมไปกราบนมัสการหลวงพ่อไสวที่วัดปรีดารามด้วย
การบวชครั้งนี้แม้จะเป็นการบวชแก้บน เพียงระยะเวลาสั้นๆ ผมก็ตั้งใจปฏิบัติกิจของสงฆ์อย่างเต็มความสามารถ เช่นการออกบิณฑบาตร การลงพระอุโบสถทำวัตรเช้าเย็น การบวชตอนอายุมากนี้แตกต่างกับตอนบวชอายุ 20 ปี เพราะชีวิตผ่านประสบการณ์มามาก มีความเข้าใจเรื่องธรรมะพอสมควร ผิดกับตอนบวชเมื่ออายุ 20 ปี ซึ่งชีวิตกำลังมีความสับสนอยู่ๆก็มาเบรคหยุด ความรู้สึกมันคล้ายๆกับหลับๆตื่นๆยังไงชอบกล