ผมลาสิกขา(สึก)จากการเป็นพระภิกษุ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2543 เมือลาสิกขากลับมาบ้านแล้ว ก็ยังคิดไม่ออกว่าจะดำเนินชีวิตต่อจากนี้ไปยังไง เพราะการลาสิกขาตอนนี้(อายุ 62 ปี) มันต่างจากที่ลาสิกขาตอนอายุ 21 ปี เมื่อปี พ.ศ. 2503 เป็นอันมาก
ชีวิตตอนนี้มันคงจะเริ่มต้นทำอะไรยากแล้ว ถึงแม้จะมีความมั่นใจว่าสามารถจะทำอะไรต่อมิอะไรได้ แต่จะมีใครเขามาสนใจคนสูงวัยเช่นผม ครั้นจะไปเริ่มต้นทำธุรกิจค้าขายอะไร ก็ไม่มีความชอบหรือสนใจที่จะทำ ข้อสำคัญคือไม่มีเงินทุนอีกต่างหาก เผลอไผลทำแล้วเกิดขาดทุน เป็นหนี้เขาตอนแก่ตัวนี่คงจะไม่โสภา(สถาพร)นะ
วันหนึ่งก็ได้รับการติดต่อจากคุณต้อย(รัชนีวรรณ รัตนวิระกุล) เพื่อร่วมงานเก่าสมัยทำงานที่โรงแรมชวลิต เธอแจ้งว่าคุณกมล รัตนวิระกุล(สามีของเธอ) จะจัดตั้งสมาคมการบริหารโรงแรมไทย เพื่อเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนความรู้และทักษะในการบริหารจัดการโรงแรมและรีสอร์ขนาดกลางและขนาดเล็ก ใคร่จะขอให้มาช่วยในฐานะกรรมการบริหารสมาคมฯด้วย เพราะโอกาสต่อไปคงจะมีหลักสูตรในการจัดอบรมเจ้าของและผู้บริหารระดับสูงของโรงแรมด้วย
ผมตอบรับเชิญด้วยความยินดี ด้วยเหตุผลหลักๆคือต้องการที่จะทำงานด้านการฝึกอบรมและสัมมนาอีก ประการต่อมาคือชีวิตจะได้มีโอกาสพบปะผู้คนต่างๆบ้าง แทนที่จะอยู่บ้านคนเดียว(จริงๆ) อย่างไร้ค่า
ถึงแม้ใครต่อใครจะพากันพูดว่า ชีวิตตอนนี้เป็น “วัยทอง” แต่ถ้าไม่สามารถบริหารชีวิตให้ดีมีคุณค่าแล้ว มันอาจจะเป็นทองเหลืองมากกว่าทองคำก็ได้ใครจะรู้ ชีวิตในวัยสูงอายุผมว่าบริหารยากกว่าตอนวัยหนุ่มสาวนะ เพราะชีวิตในวัยสูงอายุมีความเปราะบางมาก เช่นสภาพร่างกายที่มันพร้อมจะเชื้อเชิญโรคนานาชนิดเข้ามาสู่ร่างกายได้เสมอ สภาพที่เสื่อมถอยของสุขภาพ เช่น การเดินเหินไม่สะดวก สายตาเสื่อมถอย ฟันฟางหัก ความจำเสื่อม ฯลฯเป็นต้น
สารพัดละที่จะเป็นอุปสรรคในการทำกิจกรรมต่างๆของชีวิต แต่จะอยู่นิ่งเฉยก็จะยิ่งแย่ลงมาก ฉะนั้นทางที่ดีจึงต้องหากิจกรรมที่เหมาะกับวัยทำ หลายคนก็จนปัญญากับการหากิจกรรมทำในวัยสูงอายุนี่แหละ