ผมใช้ชีวิตเจริญเติบโตมาตามลำดับภายในครอบครัวค่อนข้างใหญ่ มีพี่สาวจำนวน 7 คน พี่ชาย 1 คน ชีวิตผมในวัยเด็กเรียกว่าค่อนข้างสบายมากๆ แทบจะไม่ต้องหยิบทำอะไร แต่นี่แหละคือผลเสียที่มาบังเกิดกับชีวิตผมตอนเป็นผู้ใหญ่ เพราะทำอะไรไม่ค่อยเป็นเลย นอกจากสิ่งเดียวที่ทำมาตั้งแต่เด็กคือการซักผ้ารีดผ้า เรื่องการช่าง การทำครัว ไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น
เมื่อผมอายุได้ 7 ขวบก็ถึงวาระที่ต้องเข้าเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนประชาบาลใกล้บ้าน พรบ.ประถมศึกษาสมัยนั้น กำหนดให้เด็กเข้าเรียนเมื่ออายุย่างเข้า 7 ขวบ ความจริงจะเข้าเรียนก่อนหน้านี้ก็ได้ โรงเรียนประชาบาลใกล้บ้านที่ว่าชื่อ โรงเรียนบ้านบางม่วง ปัจจุบันก็ยังเปิดดำเนินการอยู่ ครูใหญ่ในสมัยนั้นชื่อ (มหา)ถนอม พรหมศิริ การศึกษาจบมาทางด้านมหาเปรียญ ครูประจำชั้นผม ตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 1 ถึง 2 ชื่อ ครูจำรัส (จำนามสกุลไม่ได้) เป็นสาวโสดไม่แต่งงาน ชั้นประถมปีที่ 3 ผมมีครูประจำชั้นใหม่ชื่อ ครูโนรี หลงสมบุญ พอขึ้นชั้นประถมปีที่ 4ก็มีครูประจำชั้นใหม่มาชื่อ ครูสมบัติ มาสมบูรณ์ เป็นคนหนุ่มที่มีความคิดกว้างไกล ถ้าเป็นสมัยนี้ต้องเรียกว่ามีวิสัยทัศน์ที่ดี ครูสมบัติมีอิทธิพลต่อผมในด้านการอ่านหนังสือมาก เพราะครูสมบัติจะมีหนังสือนิทานสนุกๆมาให้อ่านเสมอๆ เช่น นิทานแสนสำราญ เทพนิยาย ทำให้ผมมีนิสัยรักการอ่านมาถึงวันนี้
เมื่อผมจบชั้นประถมปีที่ 4 ครูใหญ่และครูสมบัติ มาอ้อนวอนให้เตี่ยผม อนุญาตให้ผมเรียนต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนนาคประสิทธิ์ ตั้งอยู่ในวัดบางช้างเหนือ ใกล้ตลาดสามพราน เตี่ยเกรงใจครูทั้งสองคนจึงจำใจอนุญาตให้ผมเรียนต่อ เพราะปกติเตี่ยไม่ค่อยส่งเสริมให้ลูกเรียนสูงๆตามที่เล่ามาแล้ว ผมจึงเป็นลูกคนแรกของครอบครัวนี้ที่มีโอกาสได้เรียนสูงขึ้น
แต่กว่าเตี่ยจะตัดสินใจให้เรียน เวลาก็ล่วงเลยมาถึงเทอมสองของปีการศึกษานั้น สมัยนั้นมีสามเทอม เทอมสองก็ประมาณเดือนสิงหาคม ผมยังจำได้ไม่ลืมถึงวันนี้ว่า วันที่แม่พาผมไปซื้อหนังสือเรียนที่ร้านครูสง่า ตลาดสามพราน ครูสง่าเจ้าของร้านพูดกับแม่ว่า “เจ๊ ทำไมพาลูกมาเข้าเรียนช้าอย่างนี้ ถ้าเป็นกินโต๊ะจีนเขาเสิร์ฟอาหารจานสุดท้ายแล้ว” แม่ไม่ตอบเพราะรู้ดีว่าสาเหตุที่พาลูกมาเข้าเรียนช้านั้นเพราะอะไร วันนั้นก็ซื้อหนังสือเรียนไม่ครบ เพราะร้านขายไปเกือบหมดแล้ว
วันที่แม่พามามอบตัวกับครูใหญ่โรงเรียนนาคประสิทธิ์ ครูใหญ่ชื่อ ครูประกอบ แดงใหญ่ ครูใหญ่บอกแม่ว่าให้มาเรียนเทอมใหม่ปีหน้าไม่ดีกว่าหรือ แม่หันมาถามผมว่า “เอ็งจะว่าไง” ผมก็ยืนยันว่าไม่เป็นไร จะเข้าเรียนวันนี้แหละ ถ้าเรียนไม่ทันหรือสอบตกก็เรียนใหม่ปีหน้าอีกที
ตกลงผมเข้าเรียนชั้นมัธยมปีที่ 1 ครูประจำชั้นชื่อ ครูอำพน พุ่มเจริญ ปัจจุบันท่านมีอายุขึ้นเลข 8 แล้ว เพื่อนๆในชั้นมองผมเป็นตาเดียว คงคิดว่าไอ้นี่มันมาจากหลังเขาหรือไง ถึงมาเข้าเรียนช้าแบบนี้ แต่สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ผลการสอบไล่ประจำประจำปี ผมสอบได้ที่สามจากจำนวนในชั้น 40 คน ครูใหญ่ถึงกับอุทานชมเชยว่า ไอ้นี่มันเก่งแฮะ
จุดอ่อนของผมในการเรียนคือ ผมไม่ชอบวิชาคำนวณ ดังนั้นพอเรียนชั้นมัธยมปีที่ 4 เริ่มมีวิชาเรขาคณิต พีชคณิต ผลการเรียนของผมก็ถอยหลังลงมาตามลำดับ จากที่สอบประจำเทอมและประจำปีได้ที่หนึ่งที่สอง ก็ถอยลงเป็นที่สี่ที่ห้าตามลำดับ วิชาที่ผมเรียนได้ดีคือภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วาดเขียน เป็นต้น แต่วิชาเหล่านี้คะแนนน้อย สมัยนั้นโรงเรียนนาคประสิทธิ์มีเพียงชั้นมัธยมปีที่ห้า ผมต้องมาเรียนต่อชั้นมัธยมปีที่หกที่โรงเรียนมัธยมวัดหนองแขม ที่ตั้งอยู่หลังวัดหนองแขม เขตหนองแขม ครั้นจะไปเรียนที่โรงเรียนวัดรางบัว หรือโรงเรียนวัดนวลนรดิษฐ์ อำเภอภาษีเจริญในสมัยนั้น ก็ไกลไปไม่สะดวกและไม่มีที่พักด้วย
โรงเรียนมัธยมวัดหนองแขมสมัยนั้น ประมาณ พ.ศ. 2497 เรียกว่าไกลกันดารมากๆ ไม่มีถนนรถยนต์เข้าถึงเหมือนวันนี้ ต้องนั่งเรือจ้างตรงสะพานข้ามคลองมหาศร เลยสี่แยกถนนพุทธมณฑลสาย 4มาทางบางแค ค่าเรือจ้างจำนวนเที่ยวละ 1 บาท ออกจากคลองมหาศรเลี้ยวขวาตรงที่ว่าการอำเภอหนองแขม เข้าคลองภาษีเจริญ แจวมาอีกประมาณเกือบชั่วโมงจึงถึงหน้าวัดหนองแขม ที่ตั้งอยู่ริมคลองภาษีเจริญ หากเบื่อไม่อยากนั่งเรือจ้างก็ต้องลงตรงสี่แยกถนนพุทธมณฑลตัดกับถนนเพชรเกษม เดินข้ามทุ่งนาหมายตาเอาปล่องโรงสีไฟที่ตลาดหนองแขม เดินประมาณชั่วโมงครึ่งก็ถึงวัดหนองแขม นับว่าเป็นความลำบากแสนสาหัส ต่อมาก็ได้พักอาศัยอยู่กับพระชื่อ หลวงพี่ทองอยู่ วัดหนองแขม กุฏีที่พักนั้นมีสองห้อง ห้องหนึ่งเก็บศพ ผมนอนอีกห้องหนึ่ง โดยมีระเบียงกั้นระหว่างสองห้องนี้ ผมมีเพื่อนที่มาจากโรงเรียนนาคประสิทธิ์สามสี่คน ก็นอนด้วยกัน ตอนเช้าก็ออกเดินบิณฑบาตรไปกับหลวงพี่ทองอยู่ เดินไปตามคันนาและหมู่บ้านละแวกนั้น
โรงเรียนมัธยมวัดหนองแขมสมัยนั้นไม่เคยรับนักเรียนจากโรงเรียนอื่นมาเรียนต่อ โดยเฉพาะจากโรงเรียนราษฏร์อย่างโรงเรียนนาคประสิทธิ์ อาศัยความคุ้นเคยจากครูประจำชั้นมัธยมปีที่ 4 ที่โรงเรียนนาคประสิทธิ์ ครู(พระ)จันทร์ มีรักษา กับครูใหญ่โรงเรียนมัธยมวัดหนองแขมสมัยนั้นคือ ครูแสวง สุขหุต ผมและเพื่อนๆจึงได้เข้าเรียนที่นี่
ผมและเพื่อนๆถูกจับตามองเป็นพิเศษจากเพื่อนนักเรียนในห้อง ทำให้ผมและเพื่อนๆต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนใหม่ให้ได้ แต่เวลาผ่านไปผมและเพื่อนๆที่มาจากโรงเรียนนาคประสิทธิ์ก็สามารถปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ได้ดีพอสมควร ผลการเรียนโดยเฉลี่ยก็ไม่น้อยหน้าเพื่อนๆที่เรียนที่นี่ ครูวิเชียร กัณหะยูวะ ผู้ช่วยครูใหญ่ถึงกับออกปากว่า มันเรียนดีกันทุกคน
สำหรับตัวผมนั้นมีพิเศษกว่าเพื่อนคนอื่นๆที่มาด้วยกันคือ สมัยนั้นเด็กหนุ่มสาวเขานิยมส่งข้อความไปลงคอลัมน์ “มิตรสัมพันธ์” หนังสือพิมเดลิเมล์วันจันทร์ (เจ้าของเดียวกับ นสพ.เดลินิวส์ วันนี้) ผมได้รับจดหมายขอเป็นมิตรจากนักเรียนหญิงเกือบทั่วประเทศ วันละประมาณ 50-100 ฉบับ รวมทั้งนักเรียนหญิงจากโรงเรียนมัธยมวัดหนองแขมนี้ด้วยหลายคน ชื่อของผมจึงเป็นที่รู้จักของครูวิเชียร ผู้ช่วยครูใหญ่ ก่อนที่ผมจะมาเรียนต่อที่นี่ด้วยซ้ำ ผมจึงถูกจับตามองเป็นพิเศษจากครูวิเชียรเป็นพิเศษ
คอลัมน์ “มิตรสัมพันธ์”ในหนังสือพิมพ์เดลิเมล์วันจันทร์สมัยนั้น เป็นที่นิยมกันมากของคนหนุ่มสาว เหมือนเว็บไซต์ www.facebook.com วันนี้
ที่โรงเรียนมัธยมวัดหนองแขมนี้ ผมมีลูกของคุณป้า (พี่สาวของแม่) เรียนอยู่สองคน เรียนชั้นเดียวกับผมชื่อ ไพโรจน์ สำราญภูติ และเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 4 อีกคนคือ ไพบูลย์ สำราญภูติ ชั้นเดียวกับไพบูลย์ยังมีเพื่อนของเขาที่วันนี้มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้ไพบูลย์คือ ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ
ต่อมาคุณป้าทราบจากลูกชายว่าผมมาเรียนที่โรงเรียนมัธยมวัดหนองแขม และลำบากต้องมาอาศัยอยู่วัดหนองแขม จึงชวนให้ผมไปพักอยู่ด้วยที่ตลาดกระทุ่มแบน สมุทรสาคร เพราะคุณป้ามีร้านจำหน่ายของชำอยู่ที่ตลาดกระทุ่มแบน เวลามาเรียนก็นั่งเรือแท็กซี่จากตลาดกระทุ่มแบนแล่นมาตามคลองภาษีเจริญ เรือแท็กซี่นี้เขารับนักเรียจากกระทุ่มแบนมาที่โรงเรียนมัธยมวัดหนองแขม คิดค่าโดยสารเป็นรายเดือน ผมจำไม่ได้แล้ว